ขณะนี้ตะกร้าสินค้าของคุณว่างเปล่า
สรุปคำสั่งซื้อ
ไม่มีสินค้าในตะกล้า
หน้าควบคุม
โปรไฟล์ของฉัน
คอร์สที่ลงทะเบียน
คอร์สที่สนใจ
รีวิว
การทำแบบทดสอบของฉัน
ประวัติการสั่งซื้อ
คำถาม & คำตอบ
ตั้งค่า
ออกจากระบบ
25 July 2025
การประกาศเปิดตัว Google AI Mode ภายในงาน Google I/O 2025 สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการการตลาดดิจิทัลทั่วโลก เมื่อ Google เปิดตัวเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อจากความสำเร็จของ Google AI Overviews ในปีที่แล้ว จากการที่ผู้ใช้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจากการค้นหาด้วยคำสั้น ๆ เป็นการสนทนาแบบ Multimodal ทำให้ Google หันมาตอบโต้ด้วย Google AI Mode SEO ที่ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่ฉลาดที่สุดของ Google สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่า Google AI Mode คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง ส่งผลกระทบอย่างไร และต้องเตรียมตัวอย่างไรสำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ สามารถอ่านข้อมูลได้ในบทความนี้ได้เลย ANGA Mastery สรุปมาให้แล้ว
Table of Contents
Google AI Mode คือฟีเจอร์การค้นหาใหม่ล่าสุดบน Google Search ที่เปลี่ยนการหาข้อมูลปกติให้อยู่ในรูปแบบการสนทนาแบบธรรมชาติ ด้วยพลังของเทคโนโลยี Gemini 2.5 ทำให้เราสามารถถามคำถามยาว ๆ หรือซับซ้อนได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องคิดหาคีย์เวิร์ดให้เหมาะสม ระบบจะเข้าใจเจตนาและบริบทของเราได้อย่างแม่นยำ เหมือนกับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบโต้และให้คำแนะนำได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจคือผลการค้นหาจะมาในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งข้อความอธิบาย รูปภาพประกอบ วิดีโอ และแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ทำให้เราได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์และตรวจสอบได้ในครั้งเดียว
หลายคนในวงการ SEO เริ่มตื่นตัวและทำความเข้าใจกันแล้วว่า Google AI Mode คืออะไรและทำอะไรได้บ้าง เพราะมันมีความสามารถที่อาจจะเปลี่ยนการทำงานของพวกเขาไปเลย มาดูกันว่าอะไรทำให้ Google AI Mode น่าสนใจและทำให้มันแตกต่างจาก Google AI Overviews หรือการค้นหาแบบเดิม ๆ
เวลาเราอยากได้ข้อมูลที่ครอบคลุมทุกมิติ ปกติต้องใช้เวลาเสิร์ชหลายรอบ แต่ตอนนี้ Deep Search ใน AI Mode จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ระบบจะใช้เทคนิค Query Fan-out ทำลายคำถามใหญ่ให้เป็นคำถามเล็ก ๆ หลายร้อยข้อ แล้วส่งออกไปหาข้อมูลพร้อมกัน หลังจากนั้นจะเอา AI มารวบรวมทุกอย่างแล้วสร้างเป็นรายงานที่มีการจัดหมวดหมู่และแหล่งอ้างอิงครบถ้วน ผลที่ได้คือข้อมูลที่ละเอียดและรอบด้านโดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอง
การค้นหาด้วยภาพพัฒนาไปอีกขั้น จากเดิมที่มี Google Lens ตอนนี้มี Search Live ที่ใช้เทคโนโลยีจาก Project Astra ทำให้เราค้นหาผ่านสิ่งที่เห็นได้แบบทันที แค่เปิดกล้องชี้ไปที่สิ่งของแล้วถามด้วยเสียง Google ก็จะวิเคราะห์ภาพและตอบกลับมาทันที ไม่ต้องพิมพ์อะไรเลย
นี่คือความสามารถจาก Project Mariner ที่ทำให้ AI Mode ช่วยงานเราได้จริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการจองหรือเปรียบเทียบราคา แทนที่จะเปิดหลายเว็บมาดูเอง เราแค่บอกว่า “หาตั๋วหนังเรื่อง XYZ ราคาถูกสุด 2 ที่นั่ง วันอังคารหน้า” ระบบจะไปเช็กข้อมูลจากหลายเว็บพร้อมกัน แล้วเอาตัวเลือกที่เหมาะสมมาให้เลือก เราก็แค่กดซื้อผ่านเว็บที่ชอบได้เลย ประหยัดเวลาได้เยอะแต่ยังคงสิทธิ์ในการตัดสินใจไว้
การซื้อของออนไลน์เปลี่ยนไปเมื่อ Google เอาโมเดล Gemini มาผสมกับ Shopping Graph ที่รวบรวมสินค้ามากกว่า 50 พันล้านชิ้นจากทั่วโลก Google AI Mode SEO จึงกลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวที่ช่วยวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของผลิตภัณฑ์ หรือแนะนำสิ่งที่เหมาะกับเรามากที่สุด การตัดสินใจซื้อของจึงง่ายขึ้นกว่าเดิม
จุดเด่นของระบบนี้คือการลองเสื้อผ้าแบบเสมือนจริง เพียงแค่อัปโหลดรูปตัวเอง AI จะสร้างภาพที่แสดงเราใส่เสื้อผ้าที่สนใจ ทำให้เห็นว่าชิ้นไหนเข้ากับเราหรือไม่ โดยไม่ต้องเสี่ยงซื้อมาแล้วไม่ชอบ ช่วยให้การเลือกซื้อแม่นยำและมั่นใจมากขึ้น เมื่อเจอสินค้าที่ถูกใจแล้ว ฟีเจอร์ Agentic Checkout จะช่วยจัดการการสั่งซื้อผ่าน Google Pay แต่ระบบจะรอการยืนยันจากเราก่อนทุกครั้ง ไม่มีการซื้อแบบอัตโนมัติ ทำให้สะดวกแต่ยังปลอดภัย
ฟีเจอร์ที่กำลังจะมาคือการให้คำแนะนำที่เฉพาะบุคคลมากขึ้น ระบบจะเรียนรู้จากการใช้งานที่ผ่านมาของเรา รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Google อื่น ๆ ได้ โดยเริ่มต้นจาก Gmail เพื่อให้ AI เข้าใจความต้องการของเราได้ดีขึ้น สมมติเราถาม “ร้านซูชิดี ๆ ใกล้ออฟฟิศสำหรับมื้อเที่ยงกับลูกค้าญี่ปุ่น” Google AI Mode จะค้นหาร้านซูชิที่เหมาะสม โดยอ้างอิงจากประวัติการจองร้านอาหารของเราในอดีต พร้อมแนะนำสถานที่ที่อยู่ใกล้กับสำนักงาน ซึ่งระบบจะทราบตำแหน่งจากข้อมูลในอีเมลหรือปฏิทินการทำงานของเรา ทำให้คำแนะนำตรงกับสถานการณ์จริงมากขึ้น (ทั้งนี้เราสามารถปิดการเชื่อมต่อข้อมูลได้ทุกเมื่อ)
หากต้องการแปลงข้อมูลที่ดูซับซ้อนให้เป็นภาพที่อ่านง่าย Google AI Mode SEO จะช่วยสร้างชาร์ตและกราฟให้โดยอัตโนมัติ ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลตามที่เราขอ แล้วนำเสนอในรูปแบบกราฟิกที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากเราสงสัยว่า “ราคาน้ำมันในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงอย่างไร เมื่อเทียบกับราคาทองคำ” ระบบจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง แล้วสร้างกราฟเส้นที่แสดงความเคลื่อนไหวของราคาทั้งสองอย่างในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์หรือแนวโน้มได้ชัดเจน การแสดงผลแบบนี้ช่วยให้เราเข้าใจตัวเลขและสถิติได้เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องมานั่งอ่านข้อมูลดิบที่ยาวเหยียด แต่มองเห็นภาพรวมและรายละเอียดผ่านกราฟที่ออกแบบมาให้ดูง่าย พร้อมโต้ตอบได้อีกด้วย
การมาของ Google AI Mode คือการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้วงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งสั่นสะเทือน เพราะนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้งาน เมื่อผู้ใช้ได้รับคำตอบที่สั้นกระชับและครบถ้วนจาก Google AI Mode อย่างรวดเร็วแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกดเข้าไปอ่านจากเว็บไซต์ต่าง ๆ อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มีทั้งผลกระทบที่ดีและผลกระทบที่ไม่ดี มาทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือปรับตัวกันดีกว่า
ผู้ใช้จะคลิกเข้าเว็บไซต์น้อยลงเพราะได้คำตอบจาก Google AI Mode แล้ว อัตราการคลิก (CTR) รวมถึงจำนวน Clicks, Users และ Sessions จะลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ AI จะเข้าไปอ่านเนื้อหาจากหลายเว็บไซต์แล้วสรุปมาให้ ผู้ใช้จึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านเองจากแหล่งต้นทาง เว้นแต่จะต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือต้องการทำธุรกรรมใด ๆ เพิ่มเติม
แม้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จะลดลง แต่คนที่เข้ามาจริง ๆ กลับมีความต้องการชัดเจนมากขึ้น Google AI Mode SEO จะกรองผู้ใช้ที่มีความสนใจจริงจังให้เรา เพราะคนที่ยังคลิกเข้าเว็บหลังจากได้คำตอบจาก AI แล้ว แสดงว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือพร้อมจะตัดสินใจซื้อ ตัวอย่างเช่น คนที่ค้นหาเรื่องประกันรถยนต์ หากยังเข้าเว็บไซต์หลังจากที่ AI ตอบคำถามพื้นฐานแล้ว มักจะเป็นคนที่พร้อมซื้อจริง ๆ
มีความเป็นไปได้ที่ Google จะขยาย AI Mode ไปสู่ระบบโฆษณาด้วยหรือ Google Ads ไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นโฆษณาปรากฏใน Google AI Mode ในอนาคต ซึ่งอาจเป็นรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากโฆษณาแบบเดิม การโฆษณาผ่าน AI อาจจะเป็นการแนะนำผลิตภัณฑ์ในระหว่างการสนทนา หรือการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับคำตอบที่ AI ให้
1. Schema Markup กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
2. Long-tail Keyword ยิ่งสำคัญขึ้น เพราะผู้ใช้จะสนทนากับ AI ด้วยประโยคที่ยาวและเฉพาะเจาะจง
3. การทำ SEO ไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ต้องปรับมุมมองและเทคนิคให้เข้ากับยุคของ AI
4. การทำเนื้อหาต้องมุ่งเน้นให้ AI สามารถเลือกใช้และอ้างอิงได้ แทนที่จะเขียนเพื่อเน้นการจัดอันดับ
5. ผู้ทำโฆษณาต้องเปลี่ยนจากการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดมาเป็นการศึกษาพฤติกรรมการสนทนาของลูกค้า
6. คุณภาพเนื้อหาต้องดีจริง ๆ และน่าเชื่อถือ เพราะ AI จะคัดเลือกเฉพาะข้อมูลที่มีความแม่นยำสูง
7. หยุดการคาดเดาว่าลูกค้าจะค้นหาอะไร เพราะการสนทนากับ AI มีความหลากหลายที่คาดไม่ถึง
8. ทักษะการเขียนเนื้อหาต้องพัฒนาไปในทิศทางที่ทำให้ AI เอาธุรกิจเรามาแนะนำแทนคู่แข่ง
หลังจากทำความเข้าใจแล้วว่า Google AI Mode คืออะไร และผลกระทบที่ตามมาเป็นอย่างไร เราจะเห็นว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับนักการตลาดออนไลน์ แต่เป็นโอกาสให้เราพัฒนาทักษะไปในทิศทางใหม่ การปรับเปลี่ยนจากการเขียนบทความ SEO เพื่อ Ranking มาเป็นการเขียนเพื่อให้ AI เลือกใช้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ผู้ที่เริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้จะได้เปรียบในตลาดแน่นอน ปัจจุบัน Google AI Mode เปิดใช้งานเต็มรูปแบบในสหรัฐฯ แล้ว ส่วนประเทศไทยและภูมิภาคอื่น ๆ ยังรอการอัปเดตอยู่
สำหรับใครที่อยากฝึกทักษะพัฒนาสกิลด้านการตลาดออนไลน์ หรือตามทันทุกเทรนด์ เข้าใจทุกกลยุทธ์ แบบอัปเดตใหม่ล่าสุด ANGA Mastery มีคอร์สเรียนออนไลน์มากมาย ทั้งคอร์สเรียนการตลาด คอร์สธุรกิจ และคอร์สพัฒนาเว็บไซต์ สามารถคลิกที่คอร์สเรียนเพื่อชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย
หากใครสนใจลงเรียนคอร์สไหนเป็นพิเศษ! สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนได้ที่ LINE OA – ANGA Mastery เพื่อรับสิทธิ์ Early Bird ได้แล้ววันนี้!
กันยายน 29
Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด
ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด
Top 5 News